BeWise
เรื่องน่ารู้ ...อย่ามองข้าม.... แม้จะเป็นแค่ “ เรื่องเล็กน้อย ”
เทคนิคที่จะช่วยให้ “ การอ่านหนังสือเตรียมสอบของเด็กม.6 ง่ายยิ่งขึ้น ”
:TuaM
: 10 กรฎาคม 2561
เปิดอ่าน 4231 Views
น้องม.6 หลายๆ คนอาจจะรู้สึกเหนื่อยกับหลาย ๆ อย่างในช่วงชีวิตในช่วงชั้น ม.6 อย่างแน่นอน เพราะมันเป็นช่วงรอยต่อของความเป็นเด็กมัธยมและความกดดันที่ต้องเลือกอนาคตของตัวเองในการเรียนมหาวิทยาลัย ต้องทำการบ้านและทำกิจกรรมของทางโรงเรียนไหนจะต้องแบ่งเวลาอ่านหนังสือเตรียมสอบอีก ช่างเป็นช่วงชีวิตที่ยากลำบากเหลือเกิน ดังนั้นบทความนี้พี่ๆ BeWise มีเทคนิคที่จะช่วยให้การอ่านหนังสือเตรียมสอบของเด็กม.6 ง่ายยิ่งขึ้นจะมีวิธีไหนกันบ้างลองนำไปใช้กันได้เลย
1. แบ่งเวลาให้กับการอ่านหนังสืออยู่เสมอ
อย่าคิดว่าการที่เราจะพยายามยัดเนื้อหาทุกอย่างในวินาทีสุดท้ายก่อนสอบจะช่วยทำให้เราทำคะแนนสอบได้ดี เพราะยิ่งเรายัดเนื้อหาในช่วงวันใกล้สอบทีเดียวจะยิ่งทำให้สมองเราเบลอและจำอะไรไม่ได้เลย ดังนั้นเราควรที่จะต้องทยอยอ่านหนังสือก่อนสอบไปเรื่อยๆ อย่ามัวแต่ทำอย่างอื่นจนลืมอ่านหนังสือให้นับดูวันแล้วคำนวณแบ่งเวลาอ่านหนังสือในแต่ละวิชา ทางที่ดีคือทำตารางอ่านหนังสือเอาไว้เพื่อเป็นแนวทางในการอ่าน ที่สำคัญคือต้องมีวินัยในการอ่านหนังสืออย่าลืมเป้าหมายของเรา และพอใกล้ ๆ วันสอบก็ทำสรุปสิ่งที่เราอ่านมาทั้งหมดการอ่านหนังสือโดยที่เราไม่พักเลยก็เป็นผลเสียเช่นกัน เราควรที่จะพักไปทำอย่างอื่นบ้าง เช่น การออกไปเดินเร็ว หรือออกกำลังกายประมาณ 20 นาที ก่อนกลับมาอ่านหนังสือต่อ เพราะมันจะช่วยทำให้สมองของเราทำงานได้ดียิ่งขึ้นในระหว่างการอ่านหนังสือ
อย่าคิดว่าการที่เราจะพยายามยัดเนื้อหาทุกอย่างในวินาทีสุดท้ายก่อนสอบจะช่วยทำให้เราทำคะแนนสอบได้ดี เพราะยิ่งเรายัดเนื้อหาในช่วงวันใกล้สอบทีเดียวจะยิ่งทำให้สมองเราเบลอและจำอะไรไม่ได้เลย ดังนั้นเราควรที่จะต้องทยอยอ่านหนังสือก่อนสอบไปเรื่อยๆ อย่ามัวแต่ทำอย่างอื่นจนลืมอ่านหนังสือให้นับดูวันแล้วคำนวณแบ่งเวลาอ่านหนังสือในแต่ละวิชา ทางที่ดีคือทำตารางอ่านหนังสือเอาไว้เพื่อเป็นแนวทางในการอ่าน ที่สำคัญคือต้องมีวินัยในการอ่านหนังสืออย่าลืมเป้าหมายของเรา และพอใกล้ ๆ วันสอบก็ทำสรุปสิ่งที่เราอ่านมาทั้งหมดการอ่านหนังสือโดยที่เราไม่พักเลยก็เป็นผลเสียเช่นกัน เราควรที่จะพักไปทำอย่างอื่นบ้าง เช่น การออกไปเดินเร็ว หรือออกกำลังกายประมาณ 20 นาที ก่อนกลับมาอ่านหนังสือต่อ เพราะมันจะช่วยทำให้สมองของเราทำงานได้ดียิ่งขึ้นในระหว่างการอ่านหนังสือ
2. อ่านออกเสียงให้ตัวเองฟัง
แนะนำว่าเทคนิคนี้ควรใช้ในสถานที่ที่มีความส่วนตัวเพราะถ้าไปใช้ในที่สาธารณะอาจจะไปรบกวนคนอื่นได้ การอ่านออกเสียงกับสิ่งที่ได้อ่านไปกับตัวเองมีโอกาสถึง 50% เลยนะ ที่จะช่วยทำให้เราจำสิ่งที่อ่านไปได้ เป็นเทคนิคที่เราใช้บ่อยๆ ตอนเรียนประถมศึกษาไงล่ะ จำได้ไหม แทนที่เราจะนั่งอ่านซ้ำไปซ้ำมาก็ลองเอาวิธีนี้ไปทำกันดูนะ
แนะนำว่าเทคนิคนี้ควรใช้ในสถานที่ที่มีความส่วนตัวเพราะถ้าไปใช้ในที่สาธารณะอาจจะไปรบกวนคนอื่นได้ การอ่านออกเสียงกับสิ่งที่ได้อ่านไปกับตัวเองมีโอกาสถึง 50% เลยนะ ที่จะช่วยทำให้เราจำสิ่งที่อ่านไปได้ เป็นเทคนิคที่เราใช้บ่อยๆ ตอนเรียนประถมศึกษาไงล่ะ จำได้ไหม แทนที่เราจะนั่งอ่านซ้ำไปซ้ำมาก็ลองเอาวิธีนี้ไปทำกันดูนะ
3. ฝึกจินตนาการเชื่อมโยงความคิด
เมื่อเวลาเราอ่านหนังสือ เราควรตั้งคำถามไปพร้อมกับการอ่าน เพื่อเป็นการเก็งข้อสอบไปด้วย แน่นอนว่าโจทย์ที่เราต้องเจอในห้องสอบต้องมีการพลิกแพลงได้ตลอด หรือจะลองเปลี่ยนวิธีการสรุปจากเขียนมาเป็นการวาดภาพ หรือการเขียน Mind Maps เพื่อเชื่อมโยงเนื้อหาที่เราอ่านมาเข้าด้วยกันได้เราจะได้เข้าใจได้ง่ายขึ้น วิธีนี้เหล่านี้จะช่วยให้เรารับมือกับข้อสอบได้ทุกรูปแบบ
เมื่อเวลาเราอ่านหนังสือ เราควรตั้งคำถามไปพร้อมกับการอ่าน เพื่อเป็นการเก็งข้อสอบไปด้วย แน่นอนว่าโจทย์ที่เราต้องเจอในห้องสอบต้องมีการพลิกแพลงได้ตลอด หรือจะลองเปลี่ยนวิธีการสรุปจากเขียนมาเป็นการวาดภาพ หรือการเขียน Mind Maps เพื่อเชื่อมโยงเนื้อหาที่เราอ่านมาเข้าด้วยกันได้เราจะได้เข้าใจได้ง่ายขึ้น วิธีนี้เหล่านี้จะช่วยให้เรารับมือกับข้อสอบได้ทุกรูปแบบ
4. ฝึกทำข้อสอบเก่าย้อนหลัง
สิ่งสำคัญในการเก็งข้อสอบคือการฝึกทำข้อสอบเก่าย้อนหลัง ถือเป็นการลดการอ่านหนังสือวิชาที่มีเนื้อหามากมายมหาศาลได้และทำให้เรารู้แนวทางในการทำข้อสอบของวิชานั้น ๆ สามารถเลือกอ่านเนื้อหาที่นำมาออกข้อสอบได้ตรงจุด โดยไม่ต้องเสียเวลาอ่านหนังสือทั้งเล่ม
สิ่งสำคัญในการเก็งข้อสอบคือการฝึกทำข้อสอบเก่าย้อนหลัง ถือเป็นการลดการอ่านหนังสือวิชาที่มีเนื้อหามากมายมหาศาลได้และทำให้เรารู้แนวทางในการทำข้อสอบของวิชานั้น ๆ สามารถเลือกอ่านเนื้อหาที่นำมาออกข้อสอบได้ตรงจุด โดยไม่ต้องเสียเวลาอ่านหนังสือทั้งเล่ม
5. ติวทบทวนความรู้กับเพื่อน
วิธีที่ดีที่สุดในการทดสอบความเข้าใจในสิ่งที่เราเรียนหรืออ่านมาก็คือ การนำความรู้เหล่านั้นไปสอนคนอื่น หรือไปติวทบทวนกับเพื่อน เพราะมันจะทำให้เราได้ทบทวนในสิ่งที่เรียนมาและยังเป็นการแลกเปลี่ยนความรู้กับเพื่อน ทำให้เราได้รู้ในสิ่งที่เราสงสัยหรือไม่รู้และเราสามารถใช้เวลากับเพื่อนทำให้เราสนิทกันมากขึ้นด้วย
วิธีที่ดีที่สุดในการทดสอบความเข้าใจในสิ่งที่เราเรียนหรืออ่านมาก็คือ การนำความรู้เหล่านั้นไปสอนคนอื่น หรือไปติวทบทวนกับเพื่อน เพราะมันจะทำให้เราได้ทบทวนในสิ่งที่เรียนมาและยังเป็นการแลกเปลี่ยนความรู้กับเพื่อน ทำให้เราได้รู้ในสิ่งที่เราสงสัยหรือไม่รู้และเราสามารถใช้เวลากับเพื่อนทำให้เราสนิทกันมากขึ้นด้วย
6. ให้รางวัลตัวเองบ้าง
ให้เราลองตั้งเป้าหมายและรางวัลในการอ่านหนังสือ โดยใช้สิ่งเหล่านั้นเป็นแรงจูงใจที่จะช่วยทำให้เรามีความพยายาม ขยัน อดทน ในการอ่านหนังสือ และสามารถทำข้อสอบได้ตามเป้าหมายที่ได้วางเอาไว้ เช่น การตั้งเป้าหมายว่าเราจะทำข้อสอบย้อนหลังวิชาคณิตศาสตร์ให้ได้3พ.ศ. แล้วเราสามารถออกไปกินบุฟเฟ่ต์กับเพื่อนๆได้ หรือตั้งเป้าหมายไว้ว่าอ่านหนังสือจบสองเล่มสามารถกินขนมหวานได้
ให้เราลองตั้งเป้าหมายและรางวัลในการอ่านหนังสือ โดยใช้สิ่งเหล่านั้นเป็นแรงจูงใจที่จะช่วยทำให้เรามีความพยายาม ขยัน อดทน ในการอ่านหนังสือ และสามารถทำข้อสอบได้ตามเป้าหมายที่ได้วางเอาไว้ เช่น การตั้งเป้าหมายว่าเราจะทำข้อสอบย้อนหลังวิชาคณิตศาสตร์ให้ได้3พ.ศ. แล้วเราสามารถออกไปกินบุฟเฟ่ต์กับเพื่อนๆได้ หรือตั้งเป้าหมายไว้ว่าอ่านหนังสือจบสองเล่มสามารถกินขนมหวานได้
7. ใช้มือถือให้เป็นประโยชน์
ปัจจุบันนี้เราไม่จำเป็นที่จะต้องหาความรู้เพิ่มเติมจากหนังสือเพียงอย่างเดียวแล้ว แต่การหาความรู้ผ่านโทรศัพท์ก็เป็นอีกหนึ่งช่องทางที่จะช่วยทำให้เราสามารถเข้าไปหาความรู้ได้จากทุกสถานที่ ซึ่งในปัจจุบันก็มีหลาย Applicationที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเป็นคลังความรู้สำหรับนักเรียน นักศึกษา ที่ต้องการหาความรู้เพิ่มเติมและยังสามารถใช้เป็นตัวช่วยในการเรียนและการอ่านหนังสือของเราอีกด้วย
ปัจจุบันนี้เราไม่จำเป็นที่จะต้องหาความรู้เพิ่มเติมจากหนังสือเพียงอย่างเดียวแล้ว แต่การหาความรู้ผ่านโทรศัพท์ก็เป็นอีกหนึ่งช่องทางที่จะช่วยทำให้เราสามารถเข้าไปหาความรู้ได้จากทุกสถานที่ ซึ่งในปัจจุบันก็มีหลาย Applicationที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเป็นคลังความรู้สำหรับนักเรียน นักศึกษา ที่ต้องการหาความรู้เพิ่มเติมและยังสามารถใช้เป็นตัวช่วยในการเรียนและการอ่านหนังสือของเราอีกด้วย
8. ฝึกทำสมาธิและพักผ่อนให้เพียงพอ
หากใครที่กำลังรู้สึกเครียดกับการเรียนหรือการสอบอยู่นั้น การฝึกทำสมาธิก็เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่จะช่วยทำให้เรารู้สึกผ่อนคลาย และมีแรงต่อไปในการเรียนได้ เพราะการทำสมาธิจะช่วยทำให้เรามีจิตใจที่สงบมากขึ้น และลดความกระวนการะวายใจก่อนสอบนอกจากนี้ยังช่วยทำให้เรามีสมาธิมากยิ่งขึ้นในการเรียนอีกด้วยสิ่งสำคัญที่สุดคือการหลับพักผ่อนให้เพียงพอ (อย่างน้อย 7-8 ชั่วโมง) นอกจากจะช่วยทำให้ร่างกายเจริญเติบโตได้เต็มที่แล้วยังช่วยกระตุ้นให้เรียนรู้และจำเนื้อหาที่อ่านได้มากขึ้น ซึ่งถ้าหากนอนไม่พอสมองจะเบลอหนังสือที่อ่านมาก็จะกลายเป็นศูนย์ไปในทันที นอนหลับให้เพียงพอและอย่าหลับเพลินจนไม่ตื่นไปสอบนะ…
หากใครที่กำลังรู้สึกเครียดกับการเรียนหรือการสอบอยู่นั้น การฝึกทำสมาธิก็เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่จะช่วยทำให้เรารู้สึกผ่อนคลาย และมีแรงต่อไปในการเรียนได้ เพราะการทำสมาธิจะช่วยทำให้เรามีจิตใจที่สงบมากขึ้น และลดความกระวนการะวายใจก่อนสอบนอกจากนี้ยังช่วยทำให้เรามีสมาธิมากยิ่งขึ้นในการเรียนอีกด้วยสิ่งสำคัญที่สุดคือการหลับพักผ่อนให้เพียงพอ (อย่างน้อย 7-8 ชั่วโมง) นอกจากจะช่วยทำให้ร่างกายเจริญเติบโตได้เต็มที่แล้วยังช่วยกระตุ้นให้เรียนรู้และจำเนื้อหาที่อ่านได้มากขึ้น ซึ่งถ้าหากนอนไม่พอสมองจะเบลอหนังสือที่อ่านมาก็จะกลายเป็นศูนย์ไปในทันที นอนหลับให้เพียงพอและอย่าหลับเพลินจนไม่ตื่นไปสอบนะ…